วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์

หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี
  ดูรูป หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์    บุญวาสนา ของกระผม
รูป หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์
        หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ อันดับแรกเลยต้องบอกว่าไม่รู้จัก โธ่กระผมเพิ่งไปอ่านเจอใน Google มา หลังจากไปได้พระมาแล้วก็ค้นคว้าดูปรากฏว่า หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ องค์เป็นล้าน ๆ    ถ้าผมได้มาตามเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ก็ถือว่ามีบุญแล้วละครับ แต่ยังไม่มีวาสนาที่จะหาผู้ที่มีทั้งบุญและวาสนาตัวจริงมานิมนต์ท่านไป ก็ราคาเป็นล้าน ๆ อย่างที่บอก    ( ถ้าของแท้น่ะ )   หรือถ้าไม่มีวาสนา ได้บุญขนาดว่าเป็นพระปิดตาหลวงพ่อปาน ผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ แต่มันก็จะต้องพิสูจน์กันก่อน.
         ผมจะเล่าถึงวันที่ผมได้พระ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์  ) มาให้อ่านซะก่อน อ้อ ต้องบอกก่อนว่า ห้างบางลำพู ที่เปลี่ยนมาเป็นห้างพันธ์ทิพย์ในปัจจุบันเนี่ย เมื่อก่อนสักสิบหกสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา คือแหล่งเที่ยวของผมเลยล่ะ แล้วเดี๋ยวจะมีเรื่องหนุก ๆ เล่าให้ฟัง.. เข้าเรื่อ งหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์  ดีกว่า

       วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ผมนอนฟังเพลงของ The beatles อย่างสบายอารมณ์ อยู่ ๆ ต้องตกกะใจ ที่เพื่อนซี้ที่คบกันมาร่วมยี่สิบปีมันบุกเข้ามาจนถึงในบ้าน  ( แต่ไอ้เนี่ยมันเคยมาหาผมที่บ้านนี้หลายครั้งแล้ว ) มาถึงมันก็ชวนทันที.
               “ อาหยง ไปเที่ยวบ้านพี่สาวเรากัน วันนี้พ่อกะแม่เรามาบ้านพี่สาวด้วย.. แล้วเค้าอยากเจอนายว่ะ 
                    ไอ้กู๊ด มันมาถึงมันก็ชวน ๆ ๆ เสร็จ มันยังเดินไปปิดวิทยุดึงปลั๊กให้เรียบร้อย แล้วก็ดึงผมลุกขึ้น
                                          ไปเร็ว หยง รถแท็กซี่เค้ารออยู่หน้าบ้าน   .” 
    ผมก็งง ไอ้เวล จะมาก็ไม่โทร.มาบอกล่วงหน้า นึกจะมาก็มา นี่ถ้ามันไม่บอกว่าแม่กะพ่ออยากเจอผม ไม่ไปแน่ ๆ อีกอย่างเกรงใจที่แท็กซี่เค้ารออยู่หน้าบ้านซะด้วย เลยต้องไปกับมัน.

       พอไปถึงบ้านพี่สาวเพื่อน ซึ่งผมก็รู้จักตั้งแต่สมัยอยู่บางบัว บางเขนนั่นแหละ ที่เราไม่เจอกันเพราะต่างคนต่างก็ทำงานทำภารกิจของแต่ละคนถ้าเป็นสมัยก่อน ทุกวันครับ ทุกวันเนี่ยหมายถึงเพื่อน ๆจะมารวมตัวกันที่บ้านไอ้กู๊ดนี่แหละ กินเหล้า
                  “ หยง เป็นไงลูก สบายดีมั้ย..เออ ไม่เจอตั้งนานไม่แก่เลยเนอะ แล้วลูกสาวเป็นไงบ้าง ฯลฯ  
                                                       ผมก็บอกว่า
                                 “  ไอ้เจ้าดิว มันเรียนมหาลัยปีหนึ่งครับแม่ ที่หลักสี่นี่แหละครับ.. ”
                  ( ความจริงผมบอกว่า มหาวิทยาลัยน่ะครับ เห็นเค้าเรียกมหาลัย ๆ ก็เลยเอามั่ง )
                                       พ่อกับแม่พยักหน้ายิ้ม..แล้วพ่อพูดต่อ
                                          “  อายุเท่าไหร่แล้วล่ะปีนี้  แล้วมีเมียหรือยัง  
                                                   ผมก็บอกแม่กะพ่อไปว่า
                                  “  อายุสี่สิบแปดแล้วพ่อ ส่วนเรื่องเมียไม่มีเหมือนเดิมครับ  
        “  เฮ่ย สี่สิบแปดเออ ๆ ยังดูไม่ค่อยแก่เท่าไหร่เลยน่ะเรา เออ กินอะไรถึงดูดีน่ะเรา  แล้วมงเมียไม่หาละเรา  
      พ่อยิงคำถามมาเป็นชุด ทำให้ผมเขิน ต้องหยิบแก้วน้ำที่ไอ้กู๊ดมันชงมาให้กระดกไปหนึ่งอึก..เราคุยกันเรื่องเมียเนี่ยสักพัก ผมก็ชมพ่อมั่งเพราะพ่ออายุแปดสิบห้าเข้าไปแล้ว แต่แข็งแรงมากเดินปร๋อเลย  อยู่ ๆ พ่อก็หยิบพระจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ผม แกบอกว่า
                             “  อ่ะ หยงพ่อให้ พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ หยง องค์นึง จะได้มีเมียกะเขาสักที 
   ผมยกมือไหว้ขอบคุณที่พ่อให้พระ ผมรับมาแล้ว ก็วางไว้บนโต๊ะม้าหินที่เรานั่งคุยกัน เพราะว่าผมไม่ได้ใส่เสื้อที่มีกระเป๋ามา คุยกันอีกสักพัก พ่อแกก็บอกว่า
           “   หยงไม่ต้องเอาแล้วองค์นี้ เพราะองค์นี้พ่อยังไม่เลี่ยม เอาองค์ที่เลี่ยมไปก็แล้วกัน แต่เป็นพิมพ์เล็กน่ะ 
 พ่อส่งมาครั้งนี้ ผมกำไว้ในฝ่ามือตลอด ทั้ง ๆที่ผมก็ไม่รู้จักหรอก พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ น่ะ แต่กลัวแกจะเสียใจที่ผมไม่ยอมเก็บ แหมผู้ใหญ่ให้ของไม่รู้จักเก็บ ไอ้หมอนี่ผมคุยกะพ่อแม่แล้วก็บรรดาพี่สาว แล้วก็ไอ้กู๊ด ได้เวลาที่ผมจะต้องกลับบ้านใก็เลยร่ำรา ให้ไอ้กู๊ดไปส่งขึ้นแท็กซี่.
  
         ถึงบ้านผมเอากล้องมาส่องดู เพราะไม่ได้เอากล้องไปด้วยเมื่อกี้ อีกอย่างผมก็ไม่ค่อยจะได้เล่นแล้วด้วยพระเนี่ย ตั้งแต่พ่อผมเสียไปก็เลยไม่ได้เล่น มีเพื่อน ๆ มาปล่อยให้ ส่องดู เออเข้าท่าเว้ย ก็เช่าไว้ เอาไปเปรียบเทียบกับหนังสือบ้างตาม googIe บ้าง ส่วนใหญ่เก้เรียบส่วนเพิ่งได้มาที่พ่อไอ้กู๊ดบอกว่า พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ผมส่อง ๆๆ เออ เข้าท่าแฮะ แต่ขอพักสายตาสักแป็บ ผมก็เลย วางไว้ แล้วไปล้างหน้าล้างตา ให้มันสดชื่น เสร็จแล้วผมขอนอนก่อนสงสัยจะเมารถน่ะ แถมกินน้ำที่ไอ้กู๊ดมันชงมาให้เยอะไปหน่อย.




             ตื่นขึ้นมาช่วงบ่ายจะเย็นแล้วละ นึกขึ้นได้ว่าได้ หลวงพ่อพระแก้ว เครือวัลย์ มาองค์นึงนี่หว่า เดินไปหยิบมาส่องดู ทั้งหน้าทั้งหลัง เข้าท่าว่ะแต่เราไม่เคยเห็นของจริง ทำไงดีละ อ้อ …. Google ช่วยท่านได้.
             ด้วยความรวดเร็วผมเปิดคอม ฯ เข้า google แล้วเข้าไปดูที่ พระหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ กด enter ข้อมูลต่าง ๆ ก็ออกมา….อย่างที่ผมกล่าวไว้ตั้งแต่หน้าแรก ย่อหน้าแรกนั่นแหละ.
              ทีนี้ความสงสัย ต่าง ๆ มันก็กลับมาหาผมอีกครั้งหลังจากไม่ได้เล่นพระมานาน ทำไมพ่อเค้าถึงให้ผม อย่างแรกที่คิดคือ พ่ออายุแปดสิบห้าแล้ว อยากให้เรามีไว้ใช้ พ่อบอกว่าแกเก็บไว้สามสิบปีแล้ว.. วันนั้นแกพูด แต่ผมฟังมั่งไม่ค่อยได้ฟังมั่งเพราะ คุยกับเพื่อนมั่ง คุยกะแม่มั่ง ส่วนไอ้กู๊ดเพื่อนผมมันก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องพระ แต่วันนั้นผมก็ขอมันดู เห็นมันมันห้อยในหลวงรัชกาลที่ 9 เลี่ยมเงิน แค่นี้ผมก็ว่าสุดยอดแล้วครับ.

                         ความสงสัยที่สองคือผมไปถามบรรดาเซียนพระ บรรดาเพื่อน ๆ เค้าก็บอกพ้องกันว่า 
                         “  เนื้อสวย แต่ไม่เคยเห็นของจริงว่ะ  แต่ถ้าเก่าจริงต้องมีน้ำหนักเบา ฯลฯ…. 
      ไปทำงานวันแรก ผมเลยค่อย ๆ แกะกรอบออกด้วยมือสั่น ๆ กลัวหล่น ได้พระมาผมก็เอาไปชั่งที่ตาชั่ง ดิจิตอล เครื่องมือทำมาหากินของผม ที่มีความละเอียดที่ 2.00 kg. โดยผมเอาเหรียญ 25 สตางค์รุ่นใหม่  ชั่งก่อน ได้ 1.80gกรัม  ส่วน พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชั่งได้ 1.40 g   ปรากฎว่าพระเบาหวิวกว่า 0.40g เออ ชักเข้าเค้าแฮะ.
         มาถึงความสงสัยที่สามที่พ่อไอ้กู๊ดบอกว่า  พ่อเก็บ พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ มาสามสิบปี    ถ้าคิดย้อนไปผมก็อายุสิบแปดฝนพอดิบพอดี ช่วงนั้นกำลังห้าวเลยละ เพราะมาอยู่บ้านป้าที่วัดนวลนรดิศมั่ง เดินกลับมาที่บ้านแม่ที่วัดนางชีที่อยู่ไกล้ ๆวัดนาคปรกมั่งตอนเดินมาจากวัดนวลฯต้องผ่านทดน้ำหรือประตูน้ำที่มีปลาสวายเยอะ ๆ เห็นชาวบ้านเค้าตกกันโดยใช้รองเท้าแตะผูกกับเชือกและเบ็ดเหยื่ออะไรก็ไม่รู้..โยนลงไปรอให้ปลามากิน ผมยืนดูตั้งนานไม่เคยเห็นปลามันกินเบ็ดสักที  เรื่องพระเรื่องเจ้ายุคนั้นไม่สนหรอกเล่นอย่างเดียว ไม่เหมือนวัยรุ่นสมัยนี้หร๊อก มันมีแขวนกันตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นผมอายุสิบสาม สิบสี่ แก้ผ้าเล่นน้ำกันที่สระน้ำหน้าวัดนาคปรกนั่นแหละ ( ไม่รู้ว่าปัจจุบันปี 56 ยังมีสระน้ำอยู่รึเปล่า ) แล้วก็พระขาดเพราะไปเกี่ยวขอนไม้ที่มันลอยอยู่ กลับมาบ้านบอกพ่อว่าพระหลุดตกน้ำหายไปแล้ว พ่อไม่เห็นว่าอะไร มีบ่นนิด ๆ ว่า
.  พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรีเชียวน่ะ  
        อายุสิบแปดสมัยนั้น ขอยืนยันได้เลยว่าวงการพระยังไม่บูมเหมือนยุคนี้ ที่มีเซียนเพียบ นักเขียนเกี่ยวกับเรื่องพระเพียบ สมัยนั้นผมจำได้ลาง ๆ ก็จะเป็นหนังสือชื่อนะโม หรืออะไรนี่แหละ ใครสนใจใครจะเอาพระส่งให้เซียนดู ต้องอาศัยมีฝีมือทางด้านวาดรูปซะหน่อยเพราะยุคนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูปดิจิตอลนี่นาจะใช้กล้องแมนนวลก็เสียเวลาล้าง ไหนจะล้างเสร็จหนึ่งวัน เผลอ ๆ สองวัน  เอาละว่ะวาดส่งไปดีกว่าเร็วดี ต้องยอมรับท่านเซียนเหมือนกันเพราะแกก็เป็นผู้ชำนาญเรื่องพระมาก ๆ เห็นเค้าวาดมายิก ๆ ยัก ๆ เป็นรูปเศียร รูปปาก รูปหน้า แกจัดการตอบกลับทันที   “  องค์นี้มองจากรูปแล้ว เป็นสมเด็จ เก้ครับ  
      สมัยนั้น สมัยพ่อไอ้กู๊ดห้าสิบกว่า ๆ พอ ๆ กับพ่อผม ส่วนใหญ่จะเข้าร้านกาแฟ ที่เค้านิยมเรียกกันว่าสภากาแฟนั่นแหละ แล้วก็มาโชว์กันว่านี่ผมได้นี่มาน่ะ นายมีอะไรมาดูหน่อยซิ สุดท้ายก็มีการแลกกัน เลี้ยงกันนิดหน่อยเหล้ากลมนึงโซดาเย็นเป็นวุ้นห้าขวด จบ  ผมรู้เพราะผมเคยไปสภากาแฟกับพ่อ ไปขอพ่อห้าบาท ( จะเอาไปเล่นล้อต๊อกกับเพื่อน ๆ หลังวัดนางชี ) 

                เป็นอันว่าสงสัยข้อที่สาม ที่ว่าพ่อไอ้กู๊ดให้ พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ผมมาเนี่ย ชักจะมีเค้า ก็ลองคิดดู (คิดนะครับ ไม่ได่โมเมว่าผมเข้าข้างตัวเอง) พระเบาขนาดเหรียญสลึงที่ทำในปี 2556 ยังหนักกว่าตั่ง 0.40 กรัม เหรียญสลึงหนัก 1.80 กรัม พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ หนัก 1.4 กรัมเอง พสมัยเมื่อสามสิบปีก่อนยังไม่มีเครื่องชั่งที่เป็นแบบ ดิจิตอล

             ทีนี้มาข้อสงสัยที่สี่ คือเรื่องเนื้อพระกันมั่ง ผมเปิด google ไปดูเนื้อที่เค้าให้ข้อมูลกันมา ผมคงไม่ต้องเขียนบอกหรอกนะว่าเป็นเนื้อผง ที่ข้อมูลบอกว่าเนื้อเก่ารักจะออกเป็นสีน้ำตาลเข้ม สรุปคือเนื้อจะเหมือนกะลาเก่า ผมก็ผลิกซ้ายผลิกขวา เออก็เหมือนกันกับที่เค้าบอก ผมยังไม่หายข้องใจอย่างที่บอกตอนแรกคือเอาออกไปหาข้อมูลจากเพื่อนๆ จากพ่อของเพื่อน (ไม่ใช่พ่อไอ้กู๊ดนะ) จากเซียนที่เปิดร้านพระตามตลาดนัด (รู้จักกัน) ส่วนใหญ่จะบอกว่า
ก็ดูดีนะ เนื้อสวย แต่ไม่เคยเห็นของจริง นีแหละเหตุผลที่ผมแนบไฟล์ รูป พระปิดตา หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ 
มาให้เพื่อน เซียนๆ พี่ๆ น้องๆ อาๆ ช่วยดูหน่อย ว่าเป็นคิดเห็นเป็นอย่างไร  

 อาจจะมีเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่บอกว่า
                  เฮ้ย ทำไมไม่ไปเช็คที่พันธ์ทิพย์เลยว่ะ จะได้รู้ไปเลย ไม่ต้องไปถามชาวบ้านชาวช่องเค้า “    
      ผมก็กลับมาคิด เออไปพันธ์ทิพย์ดีกว่าว่ะ..แต่คิดไปคิดมามันจะเหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าว่ะ สมัยเมื่อสิบห้าสิบหกปีที่ผ่านมานั่นแหละ สมัยนั้นผมยังไม่รู้จักหรอกว่าพระนี่คือพระอะไร สมัยนู้นผมขอยืมพ่อมาองค์นึงตอนที่พ่ออยู่บางบัวทอง





( ผมทำงานอยู่ลำลูกกา ) ขากลับจากบ้านพ่อต้องผ่านห้างบางลำภู งามวงศ์วาน เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นห้างพันธ์ทิพย์นั่นแหละ ผมลงรถหน้าห้างบางลำภู เพื่อต่อรถสาย 114  กลับลำลูกกา รอรถมันก็นานๆๆไม่มาสักที นึกขึ้นได้ว่าเราเอาพระของพ่อมานี่หว่า ไหนๆมาถึงห้างแล้วเอาไปให้เค้าเช็คดีกว่า อีกอย่างพ่อบอกว่าเป็นพระหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
ไอ้กระผมก็ไม่รู้หรอกสมัยนั้นรู้แต่ว่าพิมพ์ทรงเป็นพระลักษณะคล้ายเล็บหัวแม่โป้ง องค์ดำๆ ตัดสินใจปุ๊ปผมก็ขึ้นไปเลยที่ชั้นสามร้านพระเพียบ….


          ขึ้นมาชั้นสามผมก็มองหาร้าน แทบไม่ต้องหานานเพราะเค้าจะเรียกเราเอง

                                     
      “ ไงน้อง มีพระอะไรมาดูรึเปล่าครับ
                                                             ผมก็เลยถามกลับ                   
                                                 “    ผมเอามาองค์นึง คิดค่าดูเท่าไหร่ครับ   
                                                         เค้าก็บอกผม 
                                                                  “  ห้าสิบบาทน้อง 

   
    ผมคำนวณ ( ค่ารถกลับบ้าน สมัยนั้นทำงานใหม่ๆไม่ค่อยมีตังค์เยอะน่ะ ฮ่า ฮ่า ) คำนวณเสร็จยังพอไหว เลยส่งพระให้แกเช็ค แกรับไป..หยิบกล้องมาส่องข้างหน้าข้างหลัง แล้วก็เงยหน้ามาบอกผม
                  “   แท้น้อง ตามหลักสากลนิยม หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว สวยๆ น้อง ฯลฯ  

     
ผมก็ขอบคุณเขาแล้วรับพระคืนมาจากแก จัดแจงจ่ายตังค์ให้เค้าไปห้าสิบบาทตามระเบียบ  พอลงข้างล่างตรงที่รอรถก็รู้สึกดีใจนิดๆที่ตรงตามพ่อบอกมา คิดไปคิดมา เออ เดินไปอีกนิดก็มีห้างนี่หว่า ห้างเดอะมอลล์ มีร้านพระเหมือนกัน
ลองเอาไปให้เค้าดูอีกสักเจ้าซิว่ะ เดินไปหน่อยไม่เป็นไรหร๊อก ชิว ชิว
          สรุป วันนั้นผมไปมาสองห้าง ที่เดอะมอลล์ จำชื่อร้านไม่ได้รู้สึกจะอยู่ชั้นสอง ไปถึงเหมือนเดิมครับ                                                 
                                              “    ไงน้อง มีพระอะไรมาดูหรือเปล่าครับ 

                      
                     ผมก็ตอบเหมือนเดิม แต่ที่ลืมไม่ได้ก็คือ  
                        “   ค่าดูเท่าไหร่ครับ  “      เค้าก็ตอบกลับมาว่า    “   หนึ่งร้อยบาทน้อง
          ผมก็คำนวณเหมือนเดิมนั่นแหละ คิดในใจ สองเจ้าเจอไปร้อยห้าสิบไม่เป็นไรยังกลับบ้านได้ ( ว่ะ )

        
 ผมก็ส่งพระให้แกเหมือนเดิมเป๊ะๆ  แกก็รับพระไปส่องด้วยกล้องเหมือนร้านเมื่อกี้นี้เป๊ะๆเหมือนกัน
           สักพักแกก็เงยหน้าขึ้นมาบอก    “   แท้น้อง หลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม สวยๆน้อง สวยๆ ฯลฯ    “                                
    ทีนี้ผมก็จ่ายตังค์ รับพระแล้วเดินออกมาแบบตัวจะลอยจะจมมันนึกไม่ออก ทีนี้จะให้เชื่อใครดีว่ะ ระหว่างเซียนห้างบางลำภู กับเซียนเดอะมอลล์